วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553


จากเรื่องราวของความทรงจำที่เลือนลางสู่ความทรงจำที่ไม่มีจริง

เมื่อครั้งยังเด็กเราเองเคยวิ่งเล่นอยู่ในสถานที่หนึ่งอย่างสนุกสนาน มีแต่ความสุข ร่าเริง ไม่ได้คิดสิ่งใดนอกจากเสียงหัวเราะและอาหาร ความรู้สึกที่เท้าของเราได้สัมผัสผืนดินผืนนั้น กับวัตถุสิ่งของที่อยู่รายรอบ แสง สี กลิ่นอายของแดด สุนัขที่แสนจะน่ารักและคนในครอบครัวที่อยู่รายรอบพร้อมหน้าพร้อมตา ทุกๆ ครั้งที่ผมนั่งนิ่งๆ แล้วคิดถึงเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ มันช่างมีคำถามกับความรู้สึกนี้เสมอว่า ... ทำไม ? ... ทำไมผมจำอะไร หรือเรื่องราวในชีวิตผมไม่ได้ ? ไม่ว่าจะเป็นสีสัน รายละเอียดของสิ่งของหรือ สถานที่ หรือแม้กระทั่งเหตุการณ์สำคัญๆ หรือนี่เองที่เราเรียกกันว่าความทรงจำ มันช่างเป็นอดีตที่สมบูรณ์แบบจริงๆความทรงจำสำหรับผมเป็นเพียงแค่เวลาที่ก้าวไปข้างหน้าโดยทอดเงาสู่เบื้องหลัง ซึ่งเงานี้ไม่ได้ลากยาวและไกลเลย เป็นเพียงเงาสั้นๆ ที่บ่งบอกการมีอยู่ของเวลา

คำว่าความทรงจำสำหรับผมในที่นี้จึงดูไม่สวยงาม และสำคัญอะไรมากมายเทียบเท่าปัจจุบัน หรือเพราะในตัวเราเองเมื่อครั้งอดีตไม่ได้มีเรื่องราวความน่าสนใจที่สามารถทำให้ตนเองจดจำ หรือเพราะความทรงจำของเราเองเป็นสิ่งที่เลวร้ายและไม่น่าที่จะจำ สมองเลยทำหน้าที่ลบ ลบสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาในหน่วยความจำ ซึ่งที่จริงแล้วเรื่องราวที่ผ่านมาในชีวิตเราเองก็เคยมีเหตุการณ์ หรือประสบการณ์ดีๆ เข้ามาในชีวิตอยู่ไม่น้อย หรือเราเองเป็นโรคร้ายที่คอยทำลายความทรงจำในอดีต ทุกๆ ครั้งที่ผมนั่งนิ่งๆ เพื่อที่จะรำลึกเรื่องราวในอดีต เสียงรำพึงรำพันที่ถามถึงสาเหตุที่ผมจำความไม่ได้ต่างๆ นี้ก็เข้ามาแทนที่ภาพอดีตต่างๆ ที่ต้องการที่จะเห็นและสัมผัสมันอีกครั้ง

ทั้งนี้การที่เราเองคิดที่สัมผัสภาพต่างๆ ในอดีต ก็มีสาเหตุสืบเนื่องมาจากห้วงเวลาของปัจจุบัน อาจเป็นเพราะปัจจุบันมีชีวิตไม่เป็นดังหวัง หรือมีเหตุการณ์ที่ทำให้ตัวเราเองหวนคำนึงถึงเรื่องราวในอดีต อดีตจึงมีความสำคัญไม่แพ้ปัจจุบัน อดีตอาจเป็นแรงผลักดันให้เราก้าวไปข้างหน้า หรืออดีตอาจทำให้เราทรุดโทรมและก้าวถอยหลัง ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับสภาพการณ์ของจิตใจในเวลาปัจจุบัน การที่หวังสัมผัสความทรงจำที่เป็นร่องรอยแห่งอดีตนี้ได้สร้างแรงปรารถนาในจิตใจให้นึกถึงเรื่องราวรายละเอียดในอดีต โดยหวังว่าเราจะสัมผัสกับเรื่องราวต่างๆ นี้ได้อีกครั้ง ซึ่งอาจปรากฏเป็นมโนภาพร่องรอยในจิตใจ หรือปรากฏเป็นความฝันในยามหลับ ภาพความทรงจำนี้มักผูกโยงกับสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบุคคล สิ่งของหรือสถานที่ ซึ่งสถานที่ในที่นี้มีพลังที่จะสามารถดึงดูดเราให้มีความทรงจำไปผูกโยงกับสถานที่ได้ กล่าวคือสถานที่หรือพื้นที่นี้มีตำแหน่งที่ตั้งที่คงอยู่และถาวรโดยปราศจากการหายไปตามกาลเวลา แต่ถึงแม้สถานที่ที่อยู่ในความทรงจำนี้ในเวลาปัจจุบันมันไม่คงอยู่สภาพเดิมหรือสูญสลายไปตามกาลเวลา แต่สิ่งที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในพื้นที่ดังกล่าวนี้คือการที่ เคยมี เคยอยู่ หรือเคยเป็น อาการของคำว่าเคย ... ต่างๆ นี้ได้แสดงให้เห็นว่ายังคงมีเรื่องราวต่างๆ แฝงตัวอยู่ในพื้นที่ พื้นที่ไม่เคยเป็นสิ่งที่ว่างเปล่าโดยปราศจากเรื่องราว เรื่องราวต่างๆ ในพื้นที่นี้อาจต่างกันไปตามประสบการณ์แต่ละบุคคล สำหรับบางคนพื้นที่อาจเป็นระนาบรองรับของการอยู่อาศัย บางคนพื้นที่อาจเป็นสถานที่ที่ทำให้เกิดเรื่องราวมากมายในชีวิต ดังนั้นพื้นที่จึงเป็นระนาบรองรับเรื่องราวที่ทำให้เกิดประสบการณ์ต่างๆ นานามากมายในชีวิต พื้นที่หรือสถานที่นี้จึงสามารถโยงใยไปถึงการนึกย้อนเพื่อให้ได้มาซึ่งความทรงจำ

การปรากฏตัวของพื้นที่ หรือสถานที่ที่ทำให้เรานึกย้อนไปถึงเรื่องราวในอดีตนี้ ปรากฏให้เห็นชัดเจนในผลงานศิลปะของ อลงกรณ์ ศรีประเสริฐ ในผลงานชุด “Nothing” ผลงานชุดนี้ของอลงกรณ์ เป็นผลงานศิลปะภาพถ่าย (ขาว-ดำ) โดยภาพที่ปรากฏในผลงานคือภาพสถานที่ต่างๆ นานาที่อลงกรณ์มีความผูกพันและมีเรื่องราวความหลังกับมัน หรือเป็นสถานที่ที่เคยพักอาศัยเมื่อในอดีต บางพื้นที่อาจเป็นพื้นที่ที่เคยมีประสบการณ์ที่ทำให้มีความรู้สึกสุข / ทุกข์ สิ่งต่างๆ นี้ได้ย้อนกลับมาให้สัมผัสอีกครั้งในภาษาของศิลปะ(ภาพถ่าย) ภาพที่ปรากฏในผลงานของอลงกรณ์นี้ เป็นภาพสถานที่ที่มีความเลือนราง ด้วยแสงที่จัดจ้านจนทำให้ภาพที่ปรากฏออกมาไม่สามารถมองเห็นได้ถึงรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นความชัดเจนของสถานที่ วัตถุสิ่งของ ยานพาหนะ ข้าวของเครื่องใช้ ทุกอย่างถูกซ้อนทับด้วยแสงสีขาวทั่วทั้งภาพ รูปแบบการนำเสนอเป็นไปอย่างเรียบง่ายแต่อุดมสมบรูณ์ด้วยพลังของภาษาภาพถ่าย ซึ่งผลงานนี้เป็นผลงานภาพถ่ายที่ปราศจากสิ่งเติมแต่งใดๆ ทุกๆ รายละเอียดล้วนเกิดจากภาษาของภาพถ่าย ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคการพิมพ์ภาพที่มีคุณภาพสูง และการติดตั้งที่มีความสมบรูณ์ ซึ่งทำให้ผลงานภาพถ่ายชุดนี้โดดเด่น ชัดเจนทั้งด้านเนื้อหาและวิธีการแสดงออก โดยคงความเป็นธรรมดาสามัญของภาพถ่าย ที่ภาพถ่ายไม่ได้เป็นเพียงส่วนประกอบของงานศิลปะ แต่ภาพถ่ายนี้เป็นสื่อหลักในการนำเสนอผลงาน

ภาพถ่ายทั้งหมดในผลงานของอลงกรณ์ เป็นการพยายามที่เข้าไปต่อรองกับเวลา เวลาที่ได้ผ่านไปอย่างสมบูรณ์และทิ้งร่องรอยไว้ในห้วงแห่งความทรงจำ ร่องรอยแห่งความทรงจำดังกล่าว แน่นอนมันย่อมไม่เป็นรูปธรรมในโลกของปัจจุบัน โดยความทรงจำนั้นเป็นเพียงผลกระทบของการกระทำในอดีตที่เรามีประสบการณ์ร่วมกับสิ่งๆ นั้น หรือเหตุการณ์นั้นๆ เมื่อความทรงจำนั้นไม่มีรูปในปัจจุบันเป็นเพียงแค่ภาพจางๆการนำเสนอหรือถ่ายทอดสิ่งไม่มีรูปและจับต้องไม่ได้นี้ จึงต้องอาศัยกระบวนการที่สามารถตอบคำถามในเรื่องของเวลาได้เป็นอย่างดี กระบวนการนี้จึงตกไปอยู่ที่กระบวนการถ่ายภาพ การถ่ายภาพนี้ได้เป็นเครื่องมือในการบันทึกเวลาแบบชั่วขณะ เพื่อที่จะนำเรื่องราว เหตุการณ์ต่างๆ มาปรากฏในระนาบของภาพถ่าย การถ่ายภาพจึงเป็นสิ่งที่สามารถยื้อเวลาที่ยังคงดำเนินต่อไปให้หยุดนิ่งลงสู่ระนาบของภาพถ่าย

ซึ่งการปรากฏรูปของสิ่งต่างที่อยู่ในภาพถ่ายนี้ไม่ว่าจะเป็นวัตถุสิ่งของ คน หรือสถานที่นี้เมื่อเราคิดจะถ่ายภาพหรือขณะที่กำลังถ่ายภาพนั้น เรากำลังเลือกกรอบหรือมุมมองของอดีตเพื่อที่จะบันทึกไว้ ฉะนั้นแล้วการถ่ายภาพจึงเป็นการถ่ายภาพของอดีตให้ปรากฏรูป โดยกระบวนการถ่ายภาพเป็นการกระทำที่ขัดแย้งกับการดำเนินไปของเวลาคือ เมื่อเราคิดที่จะถ่ายภาพ เรามีภาพในใจหรือในจินตนาการ การที่มีภาพในใจนี้เป็นการคาดคะเนอนาคตแบบตีกรอบกว้างๆ และเมื่อขณะที่เรากำลังจะถ่ายภาพหรือกดชัตเตอร์นั้น เราได้มีมุมมองของความเป็นปัจจุบันโดยสมบูรณ์แบบ เมื่อสิ้นเสียงชัตเตอร์แล้ว เวลาของความเป็นปัจจุบันก็ผ่านไป เหลือแต่สิ่งที่เป็นอดีตที่ปรากฏเป็นภาพถ่าย ฉะนั้นแล้ว กระบวนการถ่ายภาพนี้จึงเป็นการวิ่งสวนทางกันของเวลาความเป็นจริงคือ อนาคต ปัจจุบัน และอดีต เป็นที่น่าสังเกตว่า ไม่ว่ากระบวนการจะย้อนหรือตีกลับไปเพียงใดปัจจุบันก็ยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม คือตำแหน่งของการกระทำ ดังนั้นผลของภาพถ่ายคือการนำพาอดีตมาปรากฏตัวให้เป็นรูปธรรมในเวลาปัจจุบันอีกครั้ง

แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าการปรากฏตัวของอดีตที่เป็นรูปธรรมนี้ จะทำอย่างไรให้ภาพนั้นมีความใกล้เคียงกับความทรงจำที่แท้จริง ในเมื่อคำว่าความทรงจำคือเวลาที่ได้ล่วงเลยไปนานแล้วซึ่งหลงเหลือแต่เพียงภาพจางๆ เมื่อเราอยากที่จะสัมผัสความทรงจำอีกครั้งในเวลาปัจจุบัน ทางเดียวที่เราทำได้คือกลับไปหา แต่การกลับไปหานี้มันเป็นการกระทำในเวลาปัจจุบัน ปัญหาคือจะทำอย่างไรให้การกลับไปหาอดีตแล้วนำเสนอนี้ปราศจากการบิดเบือนของการกระทำเวลาปัจจุบัน

ภาพถ่ายที่เป็นความทรงจำที่ปราศจากการบิดเบือนของความเป็นปัจจุบันนี้ ปรากฏให้เห็นในผลงานของอลงกรณ์ ในชุดผลงาน “Nothing” โดยภาพที่ปรากฏนี้เป็นภาพความทรงจำเมื่อครั้งอดีตที่มีการนึกถึง และอยากเข้าไปสัมผัสอีกครั้งในเวลาปัจจุบันที่ไม่ได้นำความจริงของปัจจุบันไปสัมผัส แต่เป็นการนำห้วงเวลาของอดีตที่มีความสัมพันธ์กับสถานที่ไปสัมผัสโดยการกลับไปสถานที่ที่นั้นอีกครั้ง สถานที่นี้ได้มีความผูกพันกับ อลงกรณ์ทางด้านความรู้สึกว่าด้วยการมีประสบการณ์ การวาดภาพความทรงจำของอดีตนี้ได้ใช้แสงซึ่งปรากฏเป็นผลงานภาพถ่าย ภาพถ่ายแห่งความทรงจำนี้เป็นภาพความทรงจำที่เป็นรูปธรรมที่สมบูรณ์ซึ่งเป็นภาพที่เลือนรางและจืดจาง ภาพเลือนรางนี้แสดงให้เห็นว่าเราไม่สามารถเข้าไปสัมผัสและรู้สึกกับอดีตได้ดังเดิม สิ่งที่ทำได้ตอนนี้แค่เพียงผู้สังเกตการณ์ความเป็นไปของความทรงจำในจิตใจ โดยมีเวลาของความเป็นจริงคั่นกลางอยู่ การที่อลงกรณ์ได้เป็นเพียงแค่ผู้สังเกตการณ์ความเป็นไปนี้ เกิดจากการที่เราเองไม่สามารถกลับเข้าไปในห้วงเวลาของอดีตได้ อดีตย่อมเป็นอดีต เราไม่สามารถย้อนเวลาเข้าไปรู้สึกดังเดิมได้แสงสีขาวที่ปรากฏในผลงานจึงเป็นดั่งแสงแห่งเวลาความเป็นจริงที่ถูกซ้อนทับด้วยเวลาทั้งอดีต และปัจจุบันเวลาที่ซ้อนกันดังกล่าวทำให้ภาพที่ปรากฏนั้นไม่มีเค้าโครงของความจริงแท้ เพราะสิ่งที่ปรากฏอยู่มันไม่มีอยู่จริง

การที่ไม่มีอยู่จริงที่ว่านี้ไม่ใช่ว่าวัตถุหรือสถานที่ดังกล่าวไม่มีอยู่จริง หากแต่การมีอยู่ไม่จริงนี้เป็นการไม่มีอยู่จริงของความรู้สึก ความรู้สึกของอดีตมันไม่สามารถกลับมาได้อย่างสมบูรณ์ เพราะตัวเราเองได้ผ่านมันมาอย่างสมบูรณ์ด้วยเหตุผลของเวลาเวลาได้นำพาตัวเราออกจากเสี้ยววินาทีตรงนั้น เวลาได้นำพาเราไปข้างหน้าเสมอ ดังนั้นการรับรู้สิ่งต่างๆ จึงมีเวลาเป็นส่วนสำคัญ ซึ่งไม่มีทางซ้ำรอยเดิม ดังเช่นตัวอย่างเมื่อเราขยำกระดาษสองแผ่น โดยมีเวลาในการขยำต่างกัน เราไม่สามารถได้รอยยับของกระดาษที่เหมือนกับอย่างสมบูรณ์ เช่นเดียวกับการนึกถึงอดีตที่ผูกโยงกับสถานที่ดังกล่าว เรากลับไปถ่ายภาพพื้นที่นั้น เราเองก็ไม่สามารถได้ภาพถ่ายที่เป็นภาพของความทรงจำของอดีตที่สมบูรณ์ สิ่งที่เราทำคือการนำเอาเวลาของความเป็นจริงไปซ้อนทับกับพื้นที่หรือสถานที่แห่งความทรงจำ

นอกจากแสงแล้ว สิ่งที่บอกถึงการซ้อนทับกันของเวลานั้น ยังมีอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงการซ้อนทับดังกล่าว คือตำแหน่งของผู้ถ่ายภาพ (อลงกรณ์) ที่กลับเข้าไปถ่ายจากมุมมองที่เป็นภาพนอกของสถานที่นั้นๆ กล่าวคือ การที่ไม่เข้าไปในสถานที่ดังกล่าวนี้ ได้ชี้ให้เห็นถึงการเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ความเป็นไปที่ไม่ได้นำเวลาทั้งอดีตและปัจจุบันมากดทับ (ทั้งนี้ผู้เขียนขอชี้แจงเพื่อสร้างความกระจ่างชัดระหว่างคำว่า การซ้อนทับกันของเวลาอดีตและปัจจุบัน กับการนำเวลาอดีตและปัจจุบันมากดทับกล่าวคือ การซ้อนทับกันของเวลาอดีตและปัจจุบัน เป็นการกลับเข้าไปยังความรู้สึกในเวลาของอดีต โดยที่ไม่ได้บิดเบือนความเป็นจริงและปล่อยให้มีความเป็นธรรมชาติของเวลาดำเนินไป แต่การนำเวลาอดีตและปัจจุบันมากดทับนั้น เป็นการกระทำที่มีความพยายามที่จะฝืนกฏธรรมชาติของเวลา หรือหยุดเวลาเพื่อที่จะได้ภาพต่างๆในอดีตสมบูรณ์ขึ้นมา) ฉะนั้น แล้วผลงานภาพถ่ายนี้จึงเป็นการสังเกตการณ์ของอดีตด้วยเวลาปัจจุบัน และภาพในการนำเสนอนั้นเป็นภาพของอดีตที่ไม่ได้มีความพยายามเพื่อที่จะให้ได้ถึงความสมบูรณ์ แต่สิ่งที่ได้มาคือภาพความทรงจำของอดีตผูกโยงพื้นที่นั้นๆ

การไม่แสดงออกถึงความชัดเจนในภาพนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นส่วนตัว โดยความทรงจำนี้เป็นความทรงจำหรือความรู้สึกของผู้ถ่ายภาพเพียงคนเดียว ผู้ชมผลงานนั้นจะไม่มีทางรับรู้ความรู้สึกที่เป็นความทรงจำนี้ได้เลย สิ่งที่ได้คือความงามที่นำพาเราไปสู่ประตูแห่งเรื่องราว โดยปราศจากกุญแจที่นำเราเข้าไป กุญแจนี้ผู้สร้างผลงานเองได้เก็บซ่อนไว้ภายในจิตใจเพียงผู้เดียว การที่ไปไม่ถึงความรู้สึกดังกล่าวนี้เป็นสิ่งเน้นย้ำว่าเราไม่มีทางที่จะล่วงรู้ความรู้สึกที่แท้จริงของผู้อื่นได้ ในขณะเดียวกันผู้สร้างผลงานเองก็ไม่สามารถที่จะนำตัวเองเข้าไปยืนอยู่ในเวลาอดีต แล้วนำเสนอได้อย่างสมบูรณ์แบบเช่นกัน

การถ่ายภาพที่มีการปรากฏของแสงมากเกินไปด้วยความตั้งใจที่เกิดจากเทคนิคของภาพถ่าย ได้เผยให้เห็นสาระสำคัญบางอย่างที่แฝงตัวอยู่คืออำนาจของผู้กระทำ แสงนี้ได้ชี้ให้เห็นถึงผู้กระทำที่มีเจตนาจะสถาปนาให้พื้นที่ต่างๆ นี้ให้เป็นพื้นที่ของตนเอง โดยการสร้างนิยามของพื้นที่นั้นใหม่ให้เป็นของตน พื้นที่จึงถูกแปรสภาพเป็นตัวอักษรที่เป็นเรื่องราวในงานเขียนหรือวรรณกรรมที่เขียนถึงชีวประวัติส่วนตัว โดยมีผู้ถ่ายภาพเป็นผู้ประพันธ์ ผู้ประพันธ์นี้ได้สร้างตัวบทเรื่องราวของชีวิตผ่านมุมมองของตน และเข้าไปจับจองพื้นที่ต่างๆ ให้เป็นพื้นที่แห่งความทรงจำในงานเขียน งานเขียนชิ้นนี้จึงเต็มไปด้วยการยึดครองพื้นที่ด้วยการนิยามอำนาจดังกล่าวได้สร้างกรอบที่เป็นมุมมองซึ่งเต็มไปด้วยองค์ประกอบที่ผู้ถ่ายภาพนิยามว่าเป็นของตนภาพถ่ายจึงเป็นร่างทรงที่ไร้วิญญาณของผู้ถ่ายโดยการโอนถ่ายอำนาจจากตนเองสู่กรอบของภาพ ภาพถ่ายนี้จึงเต็มไปด้วยการรองรับอำนาจเพื่อให้ได้มาซึ่งเรื่องราวหรือความทรงจำส่วนตัว แต่เป็นที่น่าสังเกตได้ว่า ไม่ว่าผู้สร้างผลงานนี้จะเข้าไปยึดครองพื้นที่หรือสถานที่ต่างๆ เพียงใดหรือมากเท่าใด ก็ไม่สามารถที่จะเป็นเจ้าของสิ่งๆ นั้นได้ ทั้งนี้เพราะสิ่งๆ นั้นก็ไม่ได้เป็นของเราอย่างแท้จริง สิ่งๆ นั้นเป็นเพียงสิ่งประกอบสร้างของประสบการณ์ที่เราเข้าไปมีส่วนร่วมในเวลานั้นๆ เราไม่สามารถบอกได้ว่าสิ่งที่เป็นส่วนประกอบของชีวิตเราเป็นส่วนหนึ่งของเรา เราทำได้เพียงกล่าวว่าส่วนประกอบต่างๆ เหล่านี้ เป็นสิ่งที่หล่อหลอมเราให้เราเป็นปัจจุบัน อำนาจดังกล่าวจึงไม่สามารถหยิบจับสิ่งใดให้เป็นของตนอย่างแท้จริง อำนาจในที่นี้ทำได้เพียงการนำเรากลับไปยังอดีตด้วยการกำหนดมุมมองของภาพ ซึ่งอำนาจดังกล่าวไม่ได้ทำให้เรานำอดีตกลับมาปัจจุบันได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่กลับได้ความสมบูรณ์แบบของอดีตกลับมา

ว่าด้วยความสมบูรณ์แบบของอดีตในผลงานนี้เป็นความสมบูรณ์แบบที่ไม่ชัดเจน เลือนราง และเต็มไปด้วยที่ว่างแห่งห้วงเวลา ซึ่งที่ว่างนี้ได้เป็นช่องว่างระหว่างอดีตกับปัจจุบันซึ่งเป็นที่มาของความทรงจำโดยความทรงจำในที่นี้ย่อมเลือนรางและตั้งอยู่บนพื้นฐานของความไม่มีอยู่จริงในเวลาปัจจุบัน มีสถานะเป็นเพียงประสบการณ์ที่พบพานจากเราไปอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่สามารถแสดงตนและกลับมาอีกครั้งด้วยการกระทำในเวลาปัจจุบัน ทั้งนี้ช่องว่างดังกล่าว ได้เปิดให้เป็นพื้นที่ให้ขบคิดว่าระหว่างช่องว่างของช่วงเวลานั้นๆ ได้มีเหตุการณ์ หรือสถานการณ์ใดที่ทำให้เกิดความรู้สึก ความรู้สึกที่สามารถดึงเรากลับไปยังอดีตอีกครั้งในเวลาปัจจุบัน โดยที่ยินยอมให้เวลาของความเป็นปัจจุบันถูกซ้อนทับด้วยกาลของอดีต ความสมบูรณ์แบบนี้จึงอยู่บนฐานของการกระทำที่ไม่เข้าไปบิดเบือนอดีตด้วยปัจจุบัน ภาพที่ปรากฏในผลงานของอลงกรณ์จึงเต็มไปด้วยช่องว่างที่เป็นแสงแห่งสัญญะ ซึ่งสามารถบ่งบอกถึงความทรงจำที่ค่อนข้างจะเลือนรางได้เป็นอย่างดี

ว่าด้วยเรื่องภาษาที่เป็นภาษาภาพถ่ายนี้ จึงดูสอดคล้องกับเนื้อหาที่ต้องการนำเสนอ แม้ว่าในตัวภาพถ่ายนี้เป็นกระบวนการทำงานทางศิลปะที่มีกระบวนการในการทำงานน้อยกว่ารูปแบบงานประเภทอื่นไม่ว่าจะเป็นจิตรกรรม หรือรูปแบบงานศิลปะแบบอื่นๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณค่าของตัวมันเองจะด้อยกว่ารูปแบบงานศิลปะประเภทอื่น ภาพถ่ายมีสิทธิเทียบเท่าผลงานศิลปะประเภทอื่นๆ กล่าวคือคุณค่าด้านการส่งสารที่สมบูรณ์ โดยปราศจากการบิดเบือนจากการกระทำที่เป็นปัจจุบันด้วยการทำซ้ำหรือย้ำความคิดไปยังภาพ ซึ่งถ้าเนื้อหาและเรื่องราวที่นำเสนอนี้ถูกถ่ายทอดด้วยกระบวนการจิตรกรรม การปรากฏตัวของเวลาในอดีตดังกล่าวจะไม่สามารถไปถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างสมบูรณ์ กล่าวคือด้วยกระบวนการจิตรกรรมนี้ ไม่สามารถถ่ายทอดเวลาที่เป็นชั่วขณะได้ด้วยเทคนิคที่จะต้องมีกระบวนการที่ซับซ้อน เพื่อให้ได้มาซึ่งผลงานที่สมบูรณ์ ถึงแม้ว่าผลงานนั้นจะเป็นผลงานที่เป็นเหมือนจริงที่สุดก็ตาม ความเหมือนจริงในที่นี้ไม่ได้เป็นสาระสำคัญกับผลงานที่มีการกล่าวถึงสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง แต่สาระสำคัญคือ การทำให้สิ่งไม่มีอยู่จริงนี้ปรากฏรูปโดยยังคงความสมบูรณ์ของการไม่มีจริง

ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นภาพถ่ายหรือผลงานจิตรกรรม คุณค่าของมันไม่ได้อยู่ที่ความยากง่ายหรือกระบวนการที่ซับซ้อน แต่หากอยู่ที่เราเลือกใช้อย่างเพียงพอและเหมาะสมกับเนื้อหามากน้อยเพียงใดภาพถ่ายที่ปรากฏในผลงานชุด “Nothing” นี้ จึงมีความสอดคล้องกับเรื่องราวที่ต้องการจะนำเสนอ คือความเป็นศูนย์และไม่มีจริงของความทรงจำที่นับวันยิ่งเลือนรางไปตามกาลเวลา เนื่องด้วยสาเหตุของภาพที่เลือนรางคือความเป็นไปของธรรมชาติด้วยเวลาที่เดินไปข้างหน้าเสมอและไม่มีวันที่จะหวนคืนกลับมา

จากความทรงจำที่เลือนรางนี้ได้เข้าสู่บทสรุปที่ว่าด้วยความไม่มีอยู่จริงของคำว่าความสมบูรณ์ คำว่าสมบูรณ์ดังกล่าวนี้ จะปรากฏได้ต่อเมื่อเราเองอยู่ในเวลาที่มีประสบการณ์ร่วมกับสถานการณ์ต่างๆ หากใช้การที่เรากลับไปโหยหาอดีตและหวังที่จะสัมผัสมันอีกครั้ง ดังนั้นอดีตจะไม่ปรากฏภาพที่สมบูรณ์แต่ประการใดแต่ภาพที่ปรากฏเป็นเพียงซากที่เป็นเศษเสี้ยวความทรงจำที่นำมาปะติดปะต่อใหม่ด้วยการกระทำที่เป็นปัจจุบัน เพื่อให้ได้มาซึ่งภาพที่มีการแยกตัวกันอย่างชัดเจนระหว่างอดีตและปัจจุบัน ซึ่งการลากเส้นแบ่งดังกล่าวนี้ปรากฏให้เห็นได้ในรูปของแสงสีขาว แสงสีขาวนี้ได้สถาปนาตัวเองให้เป็นแสงแห่งกาลเวลา

หลังจากที่ได้รับรู้เรื่องราวความทรงจำของผู้อื่น ที่ผ่านกระบวนการทางศิลปะที่เป็นภาพถ่ายซึ่งได้แสดงความสมบูรณ์แบบของความทรงจำ คำถามที่เป็นเสียงรำพึงรำพันในใจที่เกิดขึ้น เวลาที่ผมนึกถึงอดีตที่ได้กล่าวมาข้างต้น มันช่างเป็นสิ่งที่เน้นย้ำสำหรับตัวผมว่า สิ่งที่ผมหายไปในอดีตไม่ใช่อาการผิดปกติทางอดีตแต่ประการใด แต่หากเป็นคุณลักษณะเฉพาะของสิ่งที่เรียกว่าความทรงจำ ... สำหรับผมแล้วความทรงจำมันคือความงามที่ได้ผ่านไปอย่างสมบูรณ์และไม่มีวันที่จะกลับมาเป็นความจริงอีกครั้ง ...

12 07 10

*บทวิจารณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งในนิทรรศการ nothing project ภายใต้โครงการ brand new 2010 art project&art critics

ไม่มีความคิดเห็น:

เกี่ยวกับฉัน