นิทรรศการ ท้าและทาย : ปรากฏการณ์ มานิต ศรีวานิชภูมิ
นิทรรศการ
ท้าและทาย : ปรากฏการณ์ มานิต
ศรีวานิชภูมิ
ที่ปรากฏอยู่ ณ แกเลอรี่ g23 เป็นนิทรรศการที่รวบรวมผลงานภาพถ่ายของ
มานิต ศรีวานิชภูมิ ตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ.2540-2550 ซึ่งถือได้ว่าช่วงเวลาดังกล่าวนี้ประเทศไทยได้ผ่านเรื่องราวร้อนและหนาวในทางสังคมและการเมืองอยู่มากมาย และในนิทรรศการครั้งนี้ของ มานิต
ก็ได้ถือว่าเป็นนิทรรศการศิลปะภาพถ่ายที่รวบรวมเรื่องราว
ความเป็นไปของสังคมต่างๆที่เป็นอยู่ในช่วงเวลาดังกล่าวมานำเสนอได้อย่างเป็นรูปธรรม
มานิต
ศรีวานิชภูมิ
ถือได้ว่าเป็นศิลปินคนหนึ่งที่มีความน่าสนใจในด้านการแสดงออกทางศิลปะ โดยเรื่องราวในผลงานศิลปะของ มานิต
นั้นล้วนผูกโยงกับประเด็นการเปลี่ยนแปลงต่างๆของสังคมทั้งสิ้น
ไม่ว่าในด้านการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่หันหน้าเข้าสู่สังคมทุนนิยม/บริโภคนิยม
(ที่เกินพอดี)
หรือไม่ว่าประเด็นทางการเมือง ในทุกๆเรื่องราวที่เป็นปรากฏการณ์ทางสังคม
มานิต ได้มีการนำเสนอและถ่ายทอดมาเป็นผลงานศิลปะที่เป็นภาพถ่ายไว้อย่างน่าสนใจ
และในทุกๆผลงานศิลปะของมานิตนั้น
ภาพถ่ายเป็นกลไกลหรือเป็นกระบวนการหลักในการนำเสนอ
ทั้งนี้อาจเป็นเพราะภาพถ่ายนั้นเป็นสิ่ง/สื่อหนึ่งที่สามารถถ่ายทอด “ความจริง” ได้อย่างเป็นรูปธรรมที่สุด แต่ความจริงที่
มานิตได้ถ่ายทอดลงสู่ภาพถ่ายนี้
ล้วนเป็นความจริงที่มีบางสิ่งฉาบหน้าความแท้จริงของปรากฏการณ์สังคม ฉะนั้นภาพถ่ายของ มานิต จึงเป็นการนำเสนอเรื่องราวความจริงที่มีกลิ่นคาวๆหรือกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์แอบแฝงและซ่อนตัวอยู่
และซึ่งเหตุที่มาของเรื่องราวทั้งหมดที่ศิลปินผู้นี้ได้เลือกมองในประเด็นทางสังคมและการเมืองนั้น
อาจสืบเนื่องมาจาก มานิต เป็นนักเคลื่อนไหวทางสังคมและเคยเป็นช่างภาพให้กับสื่อสิ่งพิมพ์ ดังนั้นเมื่อ มานิต
ได้มองเห็นเรื่องราวต่างๆทางสังคม
สิ่งหนึ่งที่ตามมาคือ คำถามจากเรื่องราวที่ปรากฏอยู่ว่า “ความจริงเป็นเช่นไร”
เมื่อ มานิต
ได้มีมุมองที่เป็นการตั้งคำถามกับสังคมแล้ว
การแสดงออกทางศิลปะที่เป็นในแนวทางภาพถ่ายจึงได้เริ่มขึ้น และในปีพ.ศ. 2540
(ค.ศ. 1997) การเริ่มต้นการทำงานศิลปะที่มีประเด็นทางสังคมก็ได้เริ่มต้นขึ้น
และในช่วงเวลานั้นเองสังคมไทยก็ได้เกิดปรากฏการณ์ทางสังคมที่เป็นผลกระทบจากระบบทุนนิยมที่มาพร้อมกับการบริโภคนิยมที่เกินพอดี สังคมไทยในช่วงนั้นดูเหมือนจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งเม็ดเงินทางเศรษฐกิจ
จนลืมมองความเป็นไปในสังคม
และสังคมไทยก็ได้เริ่มเข้าสู่กระแสโลกโลกาภิวัตน์
และในปี พ.ศ. 2540
นี้เองสังคมไทยก็ได้ประสบกับปัญหาที่หนักยิ่งทางเศรษฐกิจที่ทำให้สภาพความเป็นอยู่ในประเทศแปรเปลี่ยนไป “ วิกฤติฟองสบู่แตก” ดูเหมือนจะเป็นคำที่ได้ยินติดหูในยุคสมัยนั้น
และจากช่วงเวลาแห่งวิกฤติการณ์ทางสังคมนี้เอง
บุรุษที่สวมเสื้อสูททันสมัยสีชมพูแปร๋น หน้าตาเฉยๆ
ที่ดูไร้ชีวิตชีวานี้เองก็ได้ถือกำเนิดขึ้น
พิ้งค์แมน เป็นบุคคลสมมุติที่ มานิต
ได้สร้างขึ้นเพื่อที่จะเป็นภาพสะท้อนของสังคมที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ของทุนนิยมที่นิยมบริโภคกันเกินความพอดี
จนทำให้เราเองลืมมองโทษหรือพิษร้ายของมันที่กำลังจะเกิดขึ้นในสังคมไทย พิ้งค์แมน
อาจเป็นบุคคลที่ได้รับพิษร้ายจากระบบทุนที่ทำให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพที่ดูไร้ชีวิตและคำนึงแต่การที่จะได้บริโภค
ตามที่ได้กล่าวมา พิ้งค์แมน
เป็นบุคคลที่ถูกสร้างขึ้นจากกรอบคิดทางศิลปะ ฉะนั้นอากัปกิริยาของ พิ้งค์แมน
ก็ล้วนเป็นการแสดงเพื่อให้เห็นถึงเรื่องราว แนวคิดทางศิลปะทั้งสิ้น
และการเริ่มต้นของพิ้งค์แมนนี้ ก็ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อ
พ.ศ. 2540 ในชุด Pink Man Begins จนถึงชุดล่าสุดในปี พ.ศ. 2552 ในชุด Ping Man Opera
เริ่มแรก การปรากฏตัวของ พิ้งค์แมน ในงานศิลปะของ มานิต
เป็นการปรากฏตัวในฐานะผู้ที่ทำการแสดงสดในที่สาธารณะ ( Performance) และ มานิต
ก็เป็นผู้บันทึกภาพ
ฉะนั้นภาพที่ปรากฏออกมาล้วนแล้วแต่ “เล่น” กับปฏิกิริยาคนรอบข้างในที่สาธารณะทั้งสิ้น ดังที่ปรากฏในผลงาน Pink Man Begins ปี พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) ผู้คนที่อยู่ในสังคมรอบข้างล้วนมีอากัปกิริยาโต้ตอบกับการปรากฏตัวของ
พิ้งค์แมน ทั้งสิ้น
ทั้งนี้เพราะความโดดเด่นของ พิ้งค์แมน ในชุดสูทสีชมพู
ประกอบกับกิริยาอาการที่เรียบเฉยไม่สนใจใยดีบริบทรอบข้าง
จนทำให้ผู้คนในสังคมเหลียวหันมามองกันไปตามๆกัน
และเหตุปัจจัยที่มีผู้คนในสังคมเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการศิลปะของมานิตนั้นเป็นไปเพื่อที่จะกระตุ้นให้คนในสังคม
“เห็น” ปรากฏการณ์ที่เป็นผลกระทบจากโลกทุนนิยมที่กำลังเข้ามากลืนกินสังคมไทยอยู่ในขณะนั้นก็เป็นได้
ซึ่งการปรากฏตัวของ พิ้งค์แมน ในชุดผลงาน Pink Man
Begins นี้ พิ้งค์แมน มักจะปรากฏตัวในที่สาธารณะที่เป็นย่านธุรกิจ
ในเขตชั้นเมืองหลวงที่มีความเจริญ(ทางด้านวัตถุ)
หรือไม่ว่าจะเป็นหน้าร้านอาหารจานด่วน
ที่เป็นสัญลักษณ์หนึ่งของสังคมบริโภคนิยมที่เป็นผลสืบเนืองมาจากการนำวิธีคิดแบบทุนนิยมมาสู่สังคมไทยในขณะนั้น และในผลงานชุด
Pink Man Begins ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางของบุรุษที่สวมเสื้อสูทสีชมพู
ที่ดูไร้ชีวิตชีวา
และในปีเดียวกัน พิ้งค์แมน ก็ได้มีการเดินทางต่อเพื่อเป็นการสร้างเสียงที่จะกระตุ้นสังคมให้หันมามองความจริงที่กำลังจะเกิดหรือเกิดขึ้นแล้วในสังคมไทย ในชื่อชุดผลงาน Pink Man With Pink Balloons และ Pink Man With A Pink Lamp ปี พ.ศ. 2540
(ค.ศ. 1997) เปรียบดังภาคต่อของ Pink
Man Begins ที่ยังคงเน้นย่ำในเรื่องราวของปรากฏการณ์ทางสังคมที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากวิธีคิดแบบทุนนิยม
ที่ทำให้ผู้คนมุ่งเน้นแต่การแสวงหาเม็ดเงินเพื่อที่จะนำมาบริโภคและใช้ชีวิตกันอย่างสุขสำราญจนเกินพอดี และในครั้งนั้น พิ้งค์แมน
ก็ได้มีการแสดงสดในที่สาธารณะย่านถนนสีลม
ซึ่งเป็นพื้นที่ย่านธุรกิจที่สำคัญอีกที่หนึ่ง ในครั้งนั้น
ได้นำลูกโป่งสีชมพูที่มีข้อความหรือเนื้อหาที่เกี่ยวเนื่องกับ “ความอยาก” ในด้านวัตถุนิยม เช่นข้อความว่า “ อยากใส่โรเร็กส์” “ อยากไปตีกอล์ฟที่จาร์กาต้า”
หรือ อยาก....... ฯลฯ
ในทุกๆข้อความที่ปรากฏบนลูกโป่งสวรรค์ ที่กำลังลอยอยู่เหนือหัว พิ้งค์แมน
นี้ เปรียบดั่งความต้องการของบุคคลที่ตกอยู่ในวงล้อมของทุนนิยมที่มีความต้องการหรืออยากในสิ่งที่เป็นวัตถุมาตอบสนองความต้องการส่วนตน
และลูกโป่งสวรรค์เหล่านี้ก็อาจเปรียบดังพื้นที่ที่เป็นสวรรค์ของ พิ้งค์แมน
ที่เขาอยากที่จะไปหรืออยากที่จะมีจนต้องทำการไขว่คว้าตลอดเวลา
และอีกหนึ่งผลงานในชุดเดียวกันนี้ที่มีความน่าสนใจในแง่ของเรื่องราวทางประวัติศาสตร์คือผลงาน
Pink
Man With A Pink Lamp #1 ( Silom
Road) ในผลงานนี้ พิ้งค์แมน ก็ได้มีการแสดงสดในที่สาธารณะอีกเช่นเคย โดยครั้งนี้
พิ้งค์แมน ได้สวมใส่แบบฟอร์มสีชมพูพร้อมกระเป๋านักธุรกิจเดินไปตามถนนย่านสีลมพร้อมกับในมือถือตะเกียงสีชมพู
ซึ่งความน่าสนใจในผลงานชิ้นนี้อยู่ที่ว่า พิ้งค์แมน
ได้มีการแสดงล้อเลียนหรือมีการหยิบยกประวัติศาสตร์บ้านเมืองมากล่าวซ้ำใหม่ในสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน และเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่ได้หยิบยกขึ้นมาในครั้งนี้คือ
การวิพากษ์วิจารณ์การบริหารราชการแผ่นดินในระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในสมัยรัชกาลที่ 7 ซึ่งมีนาย นรินทร์ ภาษิต (กลึง)
หรือ นรินทร์บ้า ได้ทำการเดินประท้วงตามท้องถนนในสมัยนั้น
โดยที่มีการร้องตะโกนถึงการบริหารราชการแผ่นดินในยุคสมัยนั้นและพร้อมกับถือตะเกียงไว้ในมือ
ซึ่งเป็นนัยกล่าวถึงสภาพบ้านเมืองในยุคสมัยนั้นว่ามืดมน ไร้ซึ่งความเป็นธรรม ....
และในการเดินบนท้องถนนของ พิ้งค์แมน ในครั้งนี้
อาจเป็นการเดินในสภาวะบ้านเมืองที่อยู่ในระบบทุนนิยมที่กำลังจะมืดมนก็เป็นได้
การแสดงสดในที่สาธารณะของ พิ้งค์แมน
นี้ได้กระทำมาพร้อมๆกับการบันทึกภาพของ มานิต
เปรียบดังมานิตได้หยุดเวลาขณะที่
พิ้งค์แมนทำการแสดงสดไว้เป็นช่วงๆและมานำเสนอผลงานภาพถ่าย ดังนั้นในผลงานของ มานิต
ช่วงแรกๆที่เป็นการปรากฏตัวของพิ้งค์แมน ดังกล่าวนี้ การแสดงสดมีความเด่นชัดในด้านการแสดงออกทางศิลปะในภาพถ่ายของ
มานิต
อยู่มากจนอาจกล่าวได้ว่าการถ่ายภาพนี้เป็นเพียงเครื่องมือในการบันทึกกิริยาอาการทางศิลปะที่ได้กระทำในที่สาธารณะเท่านั้น
และซึ่งในเวลาต่อมา มานิต
ได้ให้ความสำคัญในสาระของภาพถ่ายมากขึ้นตามลำดับ จน มานิต เองได้สร้างสรรค์ผลงานชุดต่อมา
ซึ่งเป็นการนำเสนอ พิ้งค์แมน โดยเน้นไปที่สาระของภาพถ่ายมากกว่าการที่จะนำเสนอ
พิ้งค์แมน ในฐานะสื่อแสดงสดในที่สาธารณะและในผลงานชุดดังกล่าวคือในชื่อชุด Pink Man on
tour (Thailand)
พ.ศ. 2540
(
ค.ศ. 1997)
Pink
Man on tour (Thailand) ได้ถูกรังสรรค์ขึ้นมาในยุคสมัยที่ประเทศไทยมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่
7-8 ที่มีการมุ่งเน้นอุตสาห์กรรมการท่องเที่ยวในประเทศไทย
โดยมองว่าแหล่งท่องเที่ยวหรือวัฒนธรรมต่างๆนั้นสามารถนำมาเป็นต้นทุนทางเศรษฐกิจเพื่อที่จะได้เม็ดเงินเข้าสู่ประเทศ ซึ่งกระแสดังกล่าวได้สร้างการตื่นตัวในด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก
ภายใต้ชื่อที่ถูกสร้างสรรค์ว่า Amazing Thailand
Amazing
Thailand
ได้สร้าง/สนับสนุนแหล่งท่องเที่ยวให้เกิดขึ้นมากมายในประเทศไทย
โดยการเข้ามาของรัฐเพื่อที่จะทำให้ประเทศไทยนั้นเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่รองรับลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ แต่ในมุมกลับกัน
การท่องเที่ยวนี้ก็ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย ทุกสิ่งที่เป็นวิถีชีวิต หรือ วัฒนธรรม
ล้วนถูกมองว่าเป็นสินค้าทั้งสิ้น
สินค้าที่สามารถนำเงินไปแลกมาเพื่อให้ได้มาซึ่งความสุขที่ได้จากวัตถุทางวัฒนธรรม
Pink
Man on tour (Thailand) ที่มานิตได้สร้างสรรค์ขึ้นในครั้งนี้
ภาพถ่ายถือได้ว่าเป็นกระบวนการหลักในการนำเสนอ
ซึ่งแตกต่างจากผลงานในชุดก่อนๆที่มุ่งเน้นการแสดงสดในที่สาธารณะเป็นหลัก แต่ในครั้งนี้ พิ้งค์แมน
มิได้มีการแสดงสดหรือออกลีลาท่าทางมากมายแต่ประการใด พิ้งค์แมน
ได้ยืนหยุดนิ่งราวกับหุ่นที่เป็นมนุษย์
ที่ดูไร้ชีวิตชีวา ที่ถูกนำมาวางไว้ ณ สถานที่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว แหล่งท่องเที่ยวของประเทศไทยต่างๆเป็นดั่ง “ฉาก” หลังที่ถูกตัดขาดออกจากกันระหว่างตัว
พิ้งค์แมน และซึ่งการที่ พิ้งค์แมน
ไม่สนใจใยดีบริบทรอบข้างนั้นอาจกล่าวได้ว่าพิ้งค์แมนเป็นดั่งนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยว
ณ สถานที่นั้นๆ
โดยมุ่งหวังแต่เพียงจะบริโภคสินค้าที่เป็นวัฒนธรรมเหล่านี้เท่านั้น
โดยมิได้เห็นถึงคุณค่าความงามที่แท้จริงที่แฝงตัวอยู่ ดังเช่นภาพผลงาน Pink Man on tour
#4 (Amazing Culture With No Soul ) ทุกสิ่งที่ปรากฏในภาพยกเว้น
พิ้งค์แมน ล้วนเป็นเพียงแค่ “ฉาก” ในการถ่ายรูปเท่านั้นไม่เว้นแม้แต่อาคารสถาปัตยกรรมในรูปแบบศิลปะยุครัตนโกสินทร์
ทั้งนี้อาจเป็นเพราะกรอบในการมองสิ่งต่างๆของระบบทุนนิยมที่มองทุกสิ่งเป็นเพียงแค่ต้นทุนที่จะนำมาสร้างเม็ดเงินที่ไร้ชีวิตและวิญญาณ
และการปรากฏตัวของ พิ้งค์แมน
ตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆดังที่ได้กล่าวมานี้เปรียบดังการตั้งคำถามที่เป็นการวิพากษ์/วิจารณ์สังคมในขณะเดียวกัน
ซึ่งการวิพากษ์/วิจารณ์ก็คงหนีไม่พ้นนโยบายการท่องเที่ยวของรัฐที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในทุกๆภาคส่วนในประเทศไทย
บทสรุปของคำถามต่างๆนานาที่ มานิต
มีต่อสังคมนั้นปรากฏเด่นชัดเมื่อ พิ้งค์แมน ปรากฏตัวอยู่ ณ
ท้องนาสุดลูกหูลูกตาในภาคเหนือของประเทศไทย ที่ดูคล้ายๆกับว่า พิ้งค์แมน
จะมาซื้อข้าวหรือจะมาซื้อที่นา !
และนี่ก็อาจเป็นจุดเริ่มต้นของบุรุษสวมสูทสีชมพูที่เมื่อปรากฏกายที่ไหนก็จะต้องมีคำถามต่างๆนานาที่เกี่ยวโยงกับความเป็นไปของสังคมตามมาในขณะเดียวกัน และการเดินทางของ พิ้งค์แมน
เองก็ดูเหมือนจะไม่สิ้นสุดอยู่เพียงแค่ประเทศไทย พิ้งค์แมน ได้เดินทางไปสู่ดินแดนอาทิตย์อัสดง(ตะวันตก) ในผลงานชื่อชุด Pink Man on tour (Europe) ในปี พ.ศ. 2543-2546 ( ค.ศ. 2000-2003 )
การตั้งคำถามต่อโครงสร้างของทุนนิยมของมานิตนั้นมิได้หยุดอยู่เพียงแค่ประเทศไทยพิ้งค์แมน
ได้เดินทางไปยังประเทศยุโรปตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆด้วยสีหน้าที่เย็นชา
ไม่รู้สึกสนุกสนานใดๆ การเดินตามท้องถนนในประเทศยุโรปพร้อมกับการเข็นรถเข็นซุปเปอร์มาร์เก็ตสีชมพูนั้นเปรียบดั่งการไปเยือนประเทศที่เป็นแม่แบบของระบบทุนนิยมที่กลืนกินสังคมไปสู่สภาวะของการบริโภคนิยมอย่างเต็มกำลัง การเดินตามท้องถนนของ พิ้งค์แมน
ในประเทศแถบยุโรปนี้ มานิต ยังคงใช้สื่อทางศิลปะระหว่างการแสดงสด
กับสาระของภาพถ่ายที่มีการผสมผสานกันอย่างลงตัว
ที่ดูราวกับว่าภาพถ่ายของมานิตนั้นเป็นสิ่งที่บันทึกเรื่องราวต่างๆของคำถามที่มีการแสดงออกผ่านบุรุษสมมุติที่ชื่อ พิ้งค์แมน
และที่กล่าวมาคือการตั้งคำถามต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ดูเหมือนว่าจะตอบรับกระแสของระบบทุนนิยมที่มีการบริโภคกันจนเกินความพอดี
ซึ่งระบบโครงสร้างของทุนนิยมได้ทำให้โลกของเราทุกวันนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปในทุกภาคส่วน
ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงในด้านความเป็นอยู่ สภาพสังคม หรือ
คุณค่าทางจิตใจที่พร้อมเพรียงกันตกต่ำลงซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากโลกที่หันหน้าเข้าหาระบบทุนนิยมที่เกินพอดี
ในเวลาต่อมา พิ้งค์แมน
ก็ได้เป็นผู้ที่ทำการทบทวนเรื่องราวต่างๆในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศไทย ภายใต้ผลงาน Horror in Pink ปี พ.ศ. 2544
(ค.ศ. 2001) ผลงานชิ้นนี้เป็นการนำเสนอภาพเหตุการณ์ประวัติศาสตร์การเมืองไทยเมื่อครั้ง
6 ตุลาคม 2519 กลับมานำเสนอใหม่โดยมี พิ้งค์แมน
ที่เป็นตัวละครที่ดูเหมือนจะสร้างอารมณ์เสียดสีในภาพได้เป็นอย่างดี
ใบหน้าที่แฝงด้วยรอยยิ้มที่ไม่สะทกสะท้านต่อความรุนแรงที่ปรากฏนี้ ทำให้เรามีความอยากทราบความจริงในเหตุการณ์ครั้งนั้น
ทั้งที่ความเป็นจริงเหตุการณ์ครั้งนั้นมันก็ได้ผ่านเวลามาเนิ่นนานจนอาจทำให้ใครบางคนหลงลืมไปว่าเหตุการณ์นั้นมีคนตายกี่คน
!
และก็เช่นเคย พิ้งค์แมน
ที่เป็นดั่งตัวแทนของมนุษย์ที่อยู่ในโลกของทุนนิยม
ที่จะไม่สนใจใยดีกับเหตุการณ์ต่างๆที่ปรากฏ
และพร้อมที่จะมอบรอยยิ้มราวกับปีศาจที่แสนจะโหดร้ายโดยที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวใดๆ
การปรากฏตัวของพิ้งค์แมนที่ซ้อนทับกับภาพเหตุการณ์ทางการเมืองในหน้าประวัติศาสตร์ชาติไทยนี้ได้ชี้ให้เห็นว่า
มานิต นั้นเป็นผู้ที่ไม่ปล่อยให้ความจริงถูกบิดเบือนจากคำพูดของใครบางคนหรือให้เลือนหายไปตามกาลเวลา
และในช่วงเวลาต่อมาประเทศไทยก็ได้ประสบปัญหาว่าด้วยการบิดเบือนความจริงต่างๆนานามากมายทั้งการบิดเบือนความจริงจากผู้นำระดับประเทศ หรือจะเป็นการบิดเบือนความจริงจากสื่อ ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการบริหารประเทศของผู้นำ และรัฐบาลในขณะนั้นคือชุดรัฐบาลของ พ.ต.ท.
ทักษิณ ชินวัตร
ซึ่งเป็นรัฐที่ได้รับคะแนนเสียงจากประชาชนมากที่สุดจนสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้
ในช่วงเวลาต่อมาประเทศไทยก็เกิดภาวะความขัดแย้งทางการเมืองที่ส่งผลไปสู่การชุมนุมเรียกร้องต่างๆมากมาย
ทั้งฝ่ายสนับสนุนและต่อต้านรัฐบาล
และด้วยเหตุของเรื่องราวต่างๆที่ยังคงวนเวียนในสังคมการเมืองไทยนี้เอง
ทำให้เกิดกระแสของการหวงแหนประเทศชาติไทยเกิดขึ้นมา
หรืออาจกล่าวได้ว่าเหตุการณ์ความขัดแย้งต่างๆทางการเมืองต่างๆที่เกิดขึ้นนี้ได้ปลุกกระแสของการรักชาติแบบชาตินิยมขึ้นมาอีกครั้ง
อีกเช่นเคย มานิต
ก็ได้มีการตั้งคำถามต่อกระแสต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคมด้วยผลงานในชุดต่อมาคือ Pink, White & Blue # 1-3 ซึ่งในผลงานนี้ก็ได้ปรากฏ พิ้งค์แมน
ที่สวมชุดสีชมพู ที่แสดงอากัปกิริยารักชาติอย่าง “ซาบซึ้ง”
เป็นอย่างมาก
โดยแสดงออกผ่านท่าทางและสีหน้า ที่ดูออกจะ “in” จนเกินจริง การรักชาติของ พิ้งค์แมน
นี้อาจเต็มไปด้วยการรักชาติแบบตามกระแสนิยมที่คนในชาติกำลังโหยหากัน ที่มีแต่ภาพลักษณ์ของการแสดงออก แต่ไร้ซึ่งความ
“รัก” ชาติอย่างแท้จริง และในการแสดงออกของ พิ้งค์แมน
ก็ดูจะเป็นอย่างนั้น พิ้งค์แมน แสดงสีหน้า
ท่าทาง ที่แสดงออกถึงการรักชาติได้อย่าง “ฉาบฉวย” ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งที่ พิ้งค์แมน
จะเป็นตัวแทนของคนส่วนใหญ่ในสังคมไทยในยุคสมัยนี้
และ มานิต เองก็ยังมีการแสดงทัศนคติของกระแสการรักชาติที่มีระบบการปลูกฝังด้วยการศึกษา
Pink,
White & Blue # 4-6
ภาพ พิ้งค์แมน นั่งอยู่บนเก้าอี้สวยหรูที่กำลังปิดตาเด็กน้อย
นักเรียนสวมใส่ชุดลูกเสือที่ในมือถือธงชาตินั้นเป็นการแสดงออกถึงเรื่องราวการศึกษาไทยที่กำลังปลูกฝังการรักชาติอย่างไม่ลืมหูลืมตาในการพิจารณาความจริง
ทั้งนี้มานิต
อาจมองการศึกษาของเด็กไทยว่าเป็นการศึกษาที่ไม่ได้ฝึกให้คิด
หากเพียงแต่ศึกษากันไปตามระบบการสอนที่เมื่อ ครู/อาจารย์ว่าอย่างไร
เราก็ว่าตามๆกัน
และเด็กนักเรียนทั้งหลายที่ปรากฏในภาพผลงานของ มานิต นั้นอาจอุปมาได้ว่าเป็นผู้คนในสังคมไทยที่อยู่ในช่วงเวลานี้ที่คลั่งไคล้กระแสของการรักชาติอย่างไร้เดียงสา
ผลงานมานิตในชุด Pink, White & Blue นี้กล่าวได้ว่าเป็นบทบันทึกหน้าหนึ่งใน
ประวัติศาสตร์สังคมการเมืองของไทยที่ถูกจารึกด้วยศิลปะพร้อมกับการตั้งคำถามที่ว่าด้วยความจริงในสังคมที่ปรากฏอยู่นั้นมันคือความจริงหรือ
?
ในช่วงเวลาต่อมาสังคมไทยก็ได้ทวีความขัดแย้งมากขึ้นตามลำดับ
ซึ่งมีเหตุมาจากการการบริหารประเทศของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร
สังคมไทยได้แบ่งแยกเป็นสองขั้วหรือสองสีอย่างเด่นชัด ซึ่งทำให้บ้านเมืองตกอยู่ในสภาวะของการมีเรื่องราวที่ไม่ปกติเรื่อยมา ทั้งการชุมนุมขับไล่หรือสนับสนุน พ.ต.ท. ทักษิณ
ชินวัตร จนถึงการทำ รัฐประหารรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย
และเรื่องราวมากมายในสังคมไทยที่ได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าวก็ได้ถูกนำเสนอผ่านผลงานของ
มานิต ในชุดต่อมาที่ชื่อว่า Pink Man Opera ปี พ.ศ. 2552 (ค.ศ. 2009)
Pink
Man Opera เป็นการนำเสนอเรื่องราวทางสังคมที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากเรื่องราวทางการเมือง
โดยครั้งนี้ มานิต หยิบยืมภาพลักษณ์การแสดงลิเกมาเป็นสื่อที่ช่วยนำเสนอเรื่องราว
และเหตุที่นำภาพลักษณ์ของลิเกมานำเสนอนั้นอาจเป็นเพราะลิเกมีการนำเสนอเรื่องราวท่าทางการแสดงที่
“เกินจริง”จนทำให้เกิดความน่าหลงใหลและติดตาม ทั้งนี้ พิ้งค์แมน
ก็ได้แสดงเป็นตัวละครหลักอีกเช่นเคยแต่ครั้งนี้ พิ้งค์แมน
ได้สวมบทบาทราวกับเป็นผู้นำตามท้องเรื่อง (หรือเป็น พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร
ตามความเป็นจริงในสังคม)
ในทุกๆภาพผลงานชุด Pink Man Opera นี้ล้วนมีการนำเสนอเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสังคมไทย
และถ้าใครได้ติดตามหรือสนใจในปรากฏการณ์ทางการเมืองที่ได้ขึ้นในสังคมไทยนั้นก็คงจะรับทราบเนื้อหาใจความ/เรื่องราวที่แฝงอยู่ในแต่ละภาพได้เป็นอย่างดี เช่นในภาพผลงาน Pink Man Opera #3 ที่ดูเหมือนว่า พิ้งค์แมน
จะทำการฟ้องตัวละครที่มีอำนาจให้จัดการกับฝ่ายตรงข้าม ซึ่งภาพนี้อาจอุปมาได้ถึงเรื่องราวของ พ.ต.ท.
ทักษิณ ชินวัตร
ที่จ้องจะฟ้องประเทศมหาอำนาจว่าตนเองนั้นโดนกลั่นแกล้งทางการเมืองในประเทศไทย
หรือไม่ก็ภาพผลงาน Pink Man Opera #7
ที่มีตัวละครตามท้องเรื่องแบ่งเป็นสองฝ่ายและกำลังจะต่อสู้
ห้ำหั่นด้วยอาวุธและความรุนแรง และมี พิ้งค์แมน ปรากฏเบื้องหลัง
จากภาพนี้คงคาดเดาได้ไม่ยากในเรื่องราวของความจริงในสังคม การต่อสู้ของสองฝ่ายนี้เปรียบได้กับการต่อสู้ของกลุ่มคนเสื้อเหลืองกับกลุ่มคนเสื้อแดง
โดยมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อยู่เบื้องหลังที่คอยดู/สังเกตการณ์
หรือบงการ
ซึ่งสิ่งที่ปรากฏในภาพล้วนเป็นการแสดงออกในเชิงสัญลักษณ์ที่สามารถชี้นำผู้ชมให้เข้าใจเรื่องราวได้อย่างไม่อยาก เช่น
ลองสังเกตผ้าพันคอของผู้แสดงที่อยู่ในภาพว่าเป็นสีอะไร ?
และที่กล่าวมานี้ก็เป็นเพียงบางตัวอย่างในผลงานชุด Pink Man
Opera ที่ในทุกๆภาพนั้นมีที่มาที่ไปของเรื่องราวทางสังคมแฝงอยู่
และ Pink Man Opera ก็ถือได้ว่าเป็นฉากส่งท้ายที่ไม่ใช่ฉากจบของมหากาพย์การเมืองไทยที่ดูเหมือนว่าจะหาจุดจบที่สวยงามอย่างยากลำบาก
แต่ในขณะเดียวกันการทำงานศิลปะที่เป็นภาพถ่ายของ มานิต
ก็มิได้มีเพียงภาพถ่ายที่ปรากฏบุรุษสมมุติอย่าง พิ้งค์แมน เพียงเท่านั้น ในปี พ.ศ. 2540 ( ค.ศ. 1997)
ซึ่งก็เป็นปีที่ใกล้เคียงกับการปรากฏตัวของ พิ้งค์แมน มานิต ได้สร้างสรรค์ผลงานที่มีชื่อว่า
This
Bloodless War ซึ่งเป็นผลงานภาพถ่ายขาว-ดำ
ที่มีเนื้อหา
เรื่องราวสะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงโลกและสังคมที่เข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์
ซึ่งส่งผลให้กระแสทุนนิยมที่เข้ามาพร้อมๆกับวัตถุนิยมหลั่งไหลเข้ามาทำลายผู้คนในสังคมไทย และในผลงาน This Bloodless War มานิต
ได้สร้างสถานการณ์จำลองของผู้คนในสังคมว่าได้รับผลกระทบจากภาวะทุนนิยมที่ทำให้เกิดการบ้าคลั่งวัตถุจนไม่สามารถควบคุมสติไว้ได้ ซึ่งในภาพผลงาน มานิต
ได้นำเสนอผลลัพธ์/ผลกระทบไว้อย่างชัดเจน เช่นในภาพผลงาน This Bloodless War
# 4 ที่มีผู้คนทั้งชาย หญิง
พากันล้มตายหรือสิ้นสติอยู่บนสะพานลอยเขตย่านธุรกิจ
ที่ในมือนั้นปรากฏถุงใส่สิ้นค้าของร้านค้าแบรนด์เนมชื่อดัง
ซึ่งในภาพผลงานนั้นดูราวกับตอนจบของโศกนาฏกรรมที่ไม่เคยสร้างให้มีตอนจบที่สวยงาม
และมีภาพผลงานที่มีความน่าสนใจในเรื่องการนำภาพประวัติศาสตร์การขัดแย้งอย่างสุดโต่งระหว่างประชาธิปไตยแบบเสรีกับระบบสังคมนิยมในอดีตมาซ้อนทับกับสภาวะสังคมในปัจจุบัน This Bloodless War # 2
ซึ่งเป็นภาพที่มีชายสวมใส่เสื้อที่ดูคล้ายๆกับนักธุรกิจที่ในมือถือปืนและพร้อมที่จะยิงคนที่ถูกมัดมือ ที่ดูจากการแต่งตัวแล้วก็เป็นเพียงแค่คนชนชั้นธรรมดา
และภาพนี้เองอาจทำให้เรานึกย้อนไปถึงภาพประวัติศาสตร์ความรุนแรงของสงครามที่เกิดขึ้นในประเทศเวียดนาม ที่มีพลจัตวา เหงียน ง็อก โลน อธิบดีกรมตำรวจเวียดนามใต้
สังหารประชาชนที่เป็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็นเวียดกง(เวียดนามเหนือ) ใจกลางกรุงไซ่ง่อน
และในปี พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 2006
) มานิตก็ได้สร้างสรรค์ภาพถ่ายที่เป็นภาพสะท้อนเรื่องราวทางสังคม
โดย มานิต มีการนำเสนอภาพถ่ายที่เป็นภาพถ่ายจากสถานการณ์จริงที่เกิดในสังคม
โดยที่ มานิต
มิได้ปรุงแต่งให้มีรสชาติหรือสีสันมากมายเหมือนกับผลงานชุด This Bloodless
War แต่ประการใด ซึ่ง
มานิต
เองก็ถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถในการจับปรากฏการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นจริงมานำเสนอในผลงานภาพถ่าย ซึ่งทำให้ภาพถ่ายของ มานิต
ล้วนปรากฏความจริงทางสังคมที่มาพร้อมกับเรื่องราวต่างๆที่แอบแฝงอยู่
แต่ความจริงที่ปรากฏในผลงานภาพถ่ายของ มานิต นั้น
มันเป็นความจริงที่แสนจะเปราะบางที่มีบางสิ่งฉาบหน้าไว้อย่างสวยงาม
หรือกล่าวกันอย่างง่ายๆคือ ในผลงานภาพถ่ายของ มานิต นั้นมีความจริงที่ยิ่งกว่า “การเห็น” ซ้อนอยู่เบื้องหลัง
และความจริงของเหตุการณ์ความไม่สงบในบ้านเมืองเรานั้น
ได้ถูก มานิต หยิบยกมาพูดในผลงานภาพถ่ายชื่อชุดว่า Liberators of the Nation ปี พ.ศ. 2549 (ค.ศ.2006) ซึ่งเหตุการณ์ในภาพเป็นเหตุการณ์การชุมนุมกลุ่มพันธมิตรที่ต้องการจะขับไล่รัฐบาลของ
พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร
เหตุสืบเนื่องมาจากรัฐบาลชุดดังกล่าวมีการทุจริต /คอรัปชั่น
กรณีซื้อขายหุ้นบริษัทชินคอร์เปอเรชั่น มูลค่าสูงถึง 73,271,200,910 บาท โดยมีการแก้กฎหมายเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี
เพื่อให้ได้มาซึ่งผลกำไรจากการขาย
และประกอบกับกรณีอื่นๆที่ไม่ชอบธรรมอีกมากมาย
ด้วยเหตุดังกล่าวจึงเป็นที่มาของกิจกรรมทางการเมืองภาคประชาชนที่ต้องการจะขับไล่
ผู้นำรัฐบาล โดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยภายใต้การนำของ
สนธิ ลิ้มทองกุล
เหตุการณ์การชุมนุมเป็นไปอย่างสงบ
ประกอบกับวิธีการในการประท้วงล้วนมีสีสันและมีความคิดสร้างสรรค์อย่างมากมาย
คล้ายกับว่าเป็นกิจกรรมเพื่อการบันเทิงมากกว่าเป็นการมาชุมนุมเรียกร้องขับไล่รัฐบาล มานิต
ได้ถ่ายภาพผู้ที่เข้าร่วมชุมนุมที่พากับออกมาแต่งแต้มร่างกายเพื่อการแสดงออกถึงการรักและหวงแหนประเทศชาติอย่างสนุกสนาน
และพร้อมกับภาพถ่ายใบหน้าผู้คนที่เข้าร่วมชุมนุมที่มีการแสดงออกอย่างยิ้มแย้ม
แจ่มใส บางคนถึงกับหอบลูกจูงหลานกันมา ซึ่งภาพเหล่านั้นแสดงให้เห็นว่ากระแสของการรักชาติยังไม่สิ้นหายไปจากสังคมไทย
และภาพผลงานชุดดังกล่าวก็เป็นบทบันทึกที่สำคัญของประวัติศาสตร์การเมืองไทยว่าด้วยพลังในการขับไล่รัฐบาลที่เป็นไปอย่างสันติ จนได้มาซึ่งผลลัพธ์ที่ต้องจดจำไปอีกนาน
การชุมนุมขับไล่รัฐบาลโดยกลุ่มพันธมิตรนั้นได้สิ้นสุดลงในวันที่รถถังและทหารปรากฏกายตามท้องถนน ในวันที่ 19 กันยายน 2549 การทำรัฐประหารโดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบบประชาธิปไตย
อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยมีหัวหน้าคณะการทำรัฐประหารคือ พล.อ
สนธิ บุญยรัตกลิน ได้เข้าทำการยึดอำนาจจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และได้จัดตั้งรัฐบาล
ประกอบกับการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในปี พ.ศ. 2550
ซึ่งเหตุการณ์รัฐประหารในครั้งนั้นได้สร้างปรากฏการณ์ทางการเมืองของประเทศไทยไว้อย่างน่าสนใจกล่าวคือ
การทำรัฐประหารในครั้งนี้ไม่มีการเสียเลือดเนื้อหรือมีผู้ได้รับบาดเจ็บแม้เพียงคนเดียว
กระสุนปืนต่างๆที่มาพร้อมกับอาวุธมิได้ออกจากปากกระบอกปืนแต่อย่างใด หากแต่กลับกัน
ยังเกิดภาพการมอบดอกไม้และรอยยิ้มให้แก่เหล่าทหารที่ออกมาทำการรัฐประหาร
และยังมีประชาชนทำการถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึกอีกด้วย
ในผลงานชื่อ Coup D’e’tat Photo OP ปี พ.ศ. 2549
(ค.ศ. 2006) คือผลงานภาพถ่ายที่เหล่าบรรดาประชาชน
นักท่องเที่ยวพากันยืนถ่ายภาพเคียงข้างกับรถถังและทหาร ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า
ที่พร้อมกับมอบดอกไม้เพื่อเป็นกำลังใจให้แก่เหล่าทหารที่ออกมาทำการรัฐประหารรัฐบาลที่ได้มาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
และดอกไม้ช่องามที่วางอยู่ตามรถถังนั้นล้วนแสดงให้เห็นถึงความยินดีในการทำรัฐประหารทั้งสิ้น และภาพที่ มานิต
ได้ถ่ายทอดออกมานั้นก็เป็นภาพที่เป็นสถานการณ์ที่มีผู้คนแห่เข้าไปแสดงความยินดีหรือเป็นกำลังใจ ในสิ่งที่ มานิต พยายามกำลังจะเสนอนี้คือการเน้นย้ำว่าการทำรัฐประหารในครั้งนี้มิได้มีความรุนแรงประการใด แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ปรากฏในภาพของ มานิต
คือคำถามที่ว่า
การทำรัฐประหารในครั้งนี้จะไม่มีหรือไม่นำพามาซึ่งความรุนแรงจริงหรือ ?
และในคำถามนี้คำตอบอาจปรากฏให้เห็นเมื่อครั้งเหตุการณ์นองเลือดที่ผ่านมาเร็วๆนี้ในสังคมไทย
และเช่นเคยภาพถ่ายของมานิตนั้นมิได้ปรากฏเรื่องราวต่างๆตามตาเห็น
หากแต่เป็นการปรากฏเงารางๆของความจริงที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลัง
หลังจากการทำรัฐประหารสภาพบ้านเมืองก็กลับสู่สภาวะปกติอีกครั้ง ตามท้องถนนก็ปราศจากกลุ่มผู้ชุมนุม และภายหลังจากการทำรัฐประหารไม่นานก็ถึงวันที่ประชาชนชาวไทยเฝ้ารอ วันที่ 5 ธันวาคม
ของทุกปีคือวันพระราชสมภพของพระมหากษัตริย์ไทยในรัชกาลที่ 9 และในวันที่ 5 ธันวาคม
พ.ศ. 2549 นี้เป็นนับเป็นวันที่ครบรอบการครองราชย์ปีที่ 60 ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ซึ่งเป็นหนึ่งในพระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลก
และในวันนั้นเองชาวไทยก็ได้พร้อมใจกันใส่เสื้อเหลือง(สีประจำวันจันทร์
ซึ่งเป็นวันพระราชสมภพของพระองค์) เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบการครองราชย์ปีที่ 60 และเพื่อการรับเสด็จ
ซึ่งภาพในวันนั้นล้วนเป็นภาพที่น่าจำจดยิ่งนัก
ผู้คนพร้อมใจกันสวมใส่เสื้อสีเหลืองพากันออกมารอรับเสด็จกันตามท้องถนนตามเส้นทางพระราชวังจนสุดถึงพระบรมมหาราชวัง
และเหตุการณ์ครั้งนั้นแสดงให้เห็นว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นศูนย์กลางดวงใจของประชาชนชาวไทยที่มีการยอมรับกันอย่างแท้จริง
และซึ่ง มานิต
เองก็ไม่พลาดที่จะเก็บภาพปรากฏการณ์ที่สำคัญยิ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของไทย
ในชื่อผลงาน Waiting
for the King ปี พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 2006) และในมุมที่ มานิต
เลือกมานำเสนอนั้น
กลับเป็นมุมมองที่แตกต่างออกไปจากการบันทึกภาพเพื่อเก็บไว้เป็นประวัติศาสตร์ มานิต ได้เลือกมุมมองของผู้คนในขณะรอรับเสด็จที่อยู่ตามข้างทางท้องถนน
ผู้คนชาวไทยหลากหลายที่มาพากันเฝ้ารอการเสด็จของ
พระเจ้าอยู่หัวกันอย่างเนืองแน่น บางคนมีรอยยิ้ม บางคนหน้าตาเรียบเฉย บางคนแสดงอาการเหนื่อยล้าของการรอ แต่ถึงอย่างไรเป้าหมายของผู้คนที่มา ณ ที่ตรงนี้ก็เป็นเป้าหมายเดียวกัน
คือต้องการที่จะรอรับเสด็จพระเจ้าอยู่หัว
ในภาพถ่ายของ มานิต ชุด Waiting for the King นั้นเป็นการนำเสนอภาษาของภาพถ่ายที่แฝงมาด้วยสัญลักษณ์ที่สามารถบ่งบอกเรื่องราวที่ซ่อนเร้นอยู่มากมาย
ทั้งเรื่องราวของความจริงที่ปรากฏและความเป็นจริงที่มิได้ปรากฏ
นับได้ว่าผลงานทั้งสามชุดที่ได้กล่าวมานี้(Liberators
of the Nation, Coup D’e’tat Photo OP ,และ Waiting for the
King ) ล้วนเกิดขึ้นในสถานการณ์บ้านเมืองในเวลาใกล้เคียงกันและมีความคล้องจองกันในเหตุการณ์เป็นอย่างมาก และที่สำคัญในผลงานของ มานิต
ทั้งสามชุดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นการบันทึกความจริงที่เกิดขึ้นในสังคมที่มาพร้อมๆกับภาพของสัญลักษณ์บางอย่างที่แอบแฝงอยู่อย่างเลือนราง
และการปิดท้ายผลงานใน นิทรรศการของมานิต ศรีวานิชภูมิ ในครั้งนี้ได้สร้างความ
ท้าทายต่อปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยไว้อย่างดีเยี่ยม
ภาพเด็กน้อยที่ถูกมัดมือและเท้านอนคว่ำอยู่บนผ้าสีต่างๆนี้ ปรากฏในภาพผลงานที่ชื่อว่า Embryonia
ปี พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007) เด็กน้อยที่ถูกพันธนาการ
นอนคว่ำหน้าอยู่บนผ้า สีแดง สีขาว และสีน้ำเงินนี้
แสดงให้เห็นราวกับว่าประชาชน/เยาวชนที่ไร้เดียงสา กำลังถูกบังคับให้ยินยอมพร้อมรับชะตากรรมในการสั่งสอนของผู้นำที่ชี้นำให้พวกเขาและเธอเหล่านั้นมีความจงรักภักดีต่อชาติ
ภาพที่ปรากฏนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความสิ้นหวังของประเทศชาติ แต่ในขณะเดียวกันภาวะของการสิ้นหวังนี้กลับได้มาซึ่งการสร้างชาติด้วยกระแสชาตินิยมใหม่อีครั้งก็เป็นได้
ภาพเด็กน้อยที่ถูกมัดมือและเท้านอนคว่ำอยู่บนผ้าสีต่างๆนี้
มานิต
ได้หยิบยืมเรื่องราวภาพประวัติศาสตร์เมื่อครั้งอดีตมานำเสนอใหม่อีกครั้ง ซึ่งภาพนี้มีที่มาจากภาพสีน้ำมันที่ชื่อว่า Agnus
Dei ของ Francisco
de Zurbaran ( 1598-1664 ) ที่ในภาพมีแกะสีขาวที่เท้าถูกมัด
นอนลงอยู่บนแท่นบูชา
สายตาสลดใจราวกับว่ายอมรับชะตากรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตน
และภาพนี้ก็เป็นภาพประวัติศาสตร์ที่สะท้อนให้เห็นสภาพสังคมในยุคสมัยหนึ่งที่เกิดภาวะการณ์ขัดแย้งทางการเมือง
ศาสนา และวัฒนธรรม ซึ่งนำมาซึ่งสงคราม
และแกะในภาพนี้อาจเปรียบได้ดั่งประชาชนที่กำลังตกอยู่ภายใต้พันธนาการทางสังคม
ที่ไม่มีทางดิ้นหลุด
ในผลงาน Embryonia ของ มานิต
นั้นเป็นการนำภาพเมื่ออดีตที่สามารถบ่งบอกเรื่องราวความเป็นไปของสังคมในยุคสมัยหนึ่งมาซ้อนทับกับปรากฏการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นในประเทศไทยที่เป็นอยู่ในขณะนี้
ทั้งนี้ในผลงานของมานิตนั้นล้วนแล้วแต่มีความจริงทางสังคมปรากฏอยู่ทั้งสิ้น
โดยความจริงที่ปรากฏอยู่นี้อาจเป็นความจริงที่เราเองไม่อย่างที่จะเชื่อว่ามันเป็นจริงก็ได้
ฉะนั้นความจริงในผลงานของมานิต
จึงเป็นความจริงทางสังคมที่บางและเบาจนเปราะบาง
จนใครหลายๆคนเลือกที่จะมองข้ามความจริงเหล่านั้นให้ผ่านไปก็เป็นได้
และท้ายสุดนี้ นิทรรศการ
ท้าและทาย : ปรากฏการณ์ มานิต
ศรีวานิชภูมิ ที่ปรากฏอยู่ ณ
แกลเลอรี่ g23 แห่งนี้
ก็เป็นดั่งจารึกหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองและสังคมไทย ที่ มานิต
ได้เขียนบทบันทึกไว้ด้วยผลงานศิลปะภาพถ่ายที่ได้มาซึ่งความจริงทางสังคมที่ยังคงซ่อนเร้นเพื่อให้เราค้นหา
กฤษฎา ดุษฎีวนิช