“Wall saw” วัตถุที่บ่งบอกถึงชีวิตที่ผูกโยงกับศิลปะ
เมื่อศิลปะได้ถูกพัฒนาข้ามพ้นขีดจำกัดของคำว่าศิลปะ ศิลปะอาจเป็นไปในรูปแบบของสิ่งที่สร้างขึ้นมาด้วยความจงใจซึ่งมีการประกอบ
ขึ้นจาก Form กับ space ตามทัศนคติหรือประสบการณ์ของผู้สร้างสรรค์ หรือศิลปะอาจเป็นสิ่งที่คุ้นชินธรรมดาสามัญไม่ผิดแปลกแตกต่างไปจากสิ่งที่พบ
เห็นกันโดยทั่วไป
ในเมื่อศิลปะมีความหลากหลายในการแสดงออกจึงมีคำถามเกิดขึ้นว่า เส้นแบ่งระหว่างสิ่งที่เรียกตนเองว่าศิลปะกับสิ่งที่ไม่ใช่ศิลปะซึ่งเป็นเพียงแค่วัตถุ
ธรรมดาสามัญนั้นมีอยู่ ณ จุดใด แล้วคำถามนั้นก็ยังคงวนเวียนและถูกซ่อนตัว
ด้วยการฉาบหน้าของคำว่าศิลปะที่ศิลปินได้หยิบยื่นให้แก่ผู้ชม
ในขณะเดียวกันก็มีคนทำงานศิลปะที่เฝ้ามองประเด็นนี้อยู่เช่นกันในที่นี้
ผู้อื่นหรือของตนเองโดยในตำแหน่งหรือหน้าที่การงานคือเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน
เทคนิคทางศิลปะของคณะจิตรกรรมฯ มหาวิทยาลัยศิลปากร และรับผลิตผลงานศิลปะให้แก่ศิลปินทั้งไทยและต่างประเทศ ซึ่งเขาก็ยังคงทำงานศิลปะของตนเองควบคู่ไปเช่นกัน
ในการทำงานศิลปะของสุวิชชาเองนั้นเขาไม่ได้สร้างสิ่งอื่นที่ทำให้แปลกแยก
หรือแปลกปลอมไปจากชีวิตแต่ประการใด แต่เขากลับนำศิลปะมาเป็นส่วน
หนึ่งของชีวิตและเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง โดยกระบวนการที่มีสาระทางศิลปะ
ได้แทรกซึมเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวัน ซึ่งสามารถปรากฏให้เห็นในผลงาน “Wall saw”โดยผลงานนั้นเขาได้สร้างเลื่อยที่มีรูปร่างหน้าตาเป็นเลื่อยที่สามารถ
ใช้งานได้จริงในการทำงานไม้ เลื่อยที่เป็นผลงานศิลปะในที่นี้มีรูปร่างหน้า
ตาไม่ผิดหรือแตกต่างไปจากเลื่อยที่สามารถพบเห็นทั่วไปตามโรงงานอุตสาหกรรม
และสามารถใช้ได้จริง กายภาพของผลงานจึงไม่มีอะไรแตกต่างไป
จากของจริงที่มีการใช้งานกันอยู่แต่สิ่งที่สามารถแยกแยะระหว่างวัตถุที่ใช้งานจริง
ทั่วๆไปกับวัตถุที่สามารถใช้งานได้จริงเช่นกันแต่สามารถส่งมอบสารที่มีสาระ
ทางศิลปะสู่ผู้ชมหรือผู้ที่เข้าไปกระทำใช้งานกับมันนั้นคือภาพสะท้อนของผู้สร้าง
ที่มีภาพลักษณ์์และวิถีชีวิตสอดคล้องกับวัตถุ
ความสอดคล้องที่ว่านี้สืบเนื่องมาจากหน้าที่การงานที่มีการคลุกคลีกับเครื่อง
ไม้เครื่องมือต่างๆที่สร้างงานศิลปะทั้งให้แก่ตนเองและผู้อื่นและสิ่งที่น่าสนใจคือศิลปะ
ที่เป็นเครื่องมือชิ้นนี้มีชีวิตขึ้นจริงซึ่งอาจแตกต่างจากผลงาน
ศิลปะทั่วๆไป โดยทั่วไปนั้นเมื่อเสร็จสิ้นการแสดงผลงานศิลปะ
ศิลปะก็อาจจบหน้าที่ของมันลงหลงเหลือเพียงแต่ภาพความ
ทรงจำหรือหลักฐานทางเอกสาร(สูจิบัตร) แต่ผลงาน “Wall saw” ชิ้นนี้เมื่อขณะที่แสดงผลงาน ผลงานจะเป็นเพียงวัตถุที่สะท้อนถึงผู้สร้างเท่านั้น แต่หลังจากจบการแสดงผลงานสาระวัตถุชิ้นนั้นได้มีการเริ่มต้นและ
มีชีวิตขึ้นโดยการนำไปใช้งานจริงเพื่อสร้างสรรค์ผลงานศิลปะให้แก่ตนเองและ
ศิลปินผู้อื่นอีกต่อไป ซึ่งเป็นการต่อยอดและขยายความความเป็นศิลปะ
ให้ศิลปะมีความชัดเจนแน่ชัดในตัวเองมากขึ้นโดยเริ่มตั้งแต่กระบวนการสร้าง
ที่มีกลิ่นอายและสาระทางศิลปะ ผลงาน “Wall saw” จะไม่เป็นเพียงวัตถุทางศิลปะที่หยุดนิ่งเกิดและตายไปตามนิทรรศการศิลปะ แต่กลับมีชีวิตและสร้างประโยชน์ต่อไปการนำกลับมาใช้งานจริงนี้นับเป็นการ
เน้นย้ำในคำที่ว่าศิลปะนั้นคืออะไร มีประโยชน์ที่แท้จริงหรือไม่ การท้าทายดังกล่าวนี้เป็นไปโดยการสร้างสิ่งที่เรียกว่าศิลปะที่ธรรมดาสามัญ
จากชีวิตและความรู้สึกของผู้สร้างอย่างแท้จริงนับเป็นการสร้างปรากฏการณ์
ทางศิลปะที่แสนธรรมดาแต่เต็มไปด้วยสัจจะของชีวิตอย่างแท้จริง
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจึงมีคำถามเกิดขึ้นว่าความเป็นศิลปะยังคงอยู่ต่อหรือ
ไม่หลังจากนำผลงานออกจากห้องนิทรรศการสู่พื้นที่การใช้งานจริงคำถามนี้
ได้ส่งผลกระทบต่อนิยามของคำว่าศิลปะของผู้เขียน
โดยผู้เขียนได้ตั้งคำถามกลับไปยังศิลปะว่า ศิลปะได้ให้อะไรกับผู้ชมหรือ
สังคมอย่างแท้จริง และผู้ชมจะต้องการอะไรจากศิลปะ แต่สิ่งที่ทราบแน่ชัดคือ ผลงาน
นิทรรศการมีเพียงแต่การรับรู้ถึง Form กับ space ที่ปรากฏในรูปวัตถุและยังปรากฏคำถามต่างๆมากมายสู่ผู้ชมไม่ต่างอะไรกับ
ผลงานชิ้นอื่นๆ แต่นั้นมิใช่เป็นสาระสำคัญของผลงานศิลปะชิ้นนี้มากเท่าใดนัก สาระจะเริ่มต้นขึ้นเมื่อมีผู้ที่เข้าไปมีปฏิสัมพันธ์อย่างแท้จริงกับวัตถุภายหลังแสดง
ผลงานโดยการมีปฏิสัมพันธ์นั้นจะสร้างให้เกิดสิ่งใหม่โดยเริ่มจากการตัดหรือ
ทำลายแล้วนำมาประกอบขึ้นจนเกิดสิ่งใหม่สิ่งใหม่ดังกล่าวได้ถูกสร้างขึ้น
ด้วยเครื่องมือทางศิลปะ โดยการเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์โดยตรง ซึ่งสาระความงามและสิ่งต่างๆจะเกิดภายในของแต่ละบุคคลโดยผ่านกระทำ
ผลงาน“Wall saw” ได้เน้นย้ำและสร้างสถานะเป็นผู้ให้อย่างแท
้จริงโดยเริ่มตั้งแต่การให้ตนเองการให้ตนเองในที่นี้เริ่มตั้งแต่ให้ความสัตย์จริง
ระหว่างตนเองกับวัตถุที่กระทำ โดยเกิดความแม่นยำและเที่ยงตรงนี้ ความแม่นยำและเที่ยงตรงนี้ได้นำสติ สมาธิ มาสู่สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าและยัง
สามารถฝังลึกไปยังจริตของชีวิตในเวลาเดียวกัน
ความท้าทายที่ปราศจากการกระทำที่ก้าวร้าวนี้เป็นการนำ
คำว่าศิลปะกลับมาคิดทบทวนหรือไตร่ตรองให้เกิดกระบวนการที่แท้จริงของ
ผลงานศิลปะ กระบวนการทางศิลปะที่ว่านี้มิใช้เพียงกระบวนการใน
การสร้างขึ้นชั่วขณะเพียงเท่านั้น แต่เป็นกระบวนการในการนำศิลปะ
ต่างๆเหล่านั้นให้ดำรงอยู่ เพื่อให้เกิดความสัตย์จริงในตัวผลงานและ
ตัวศิลปินผู้สร้างสรรค์ต่อไป
กฤษฎา ดุษฎีวนิช
9 05 51
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น